
views
จุดประสงค์และความสำคัญ
-
มะเร็งผิวหนังเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในภูมิภาคที่รับแสงแดดจัดและผู้ที่มีผิวไวต่อแสง
-
การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรกมีผลต่อการรักษาและอัตราการรอดชีวิตอย่างมาก
-
เครื่องมือเดิมอาจใช้เวลาเยอะ ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ (แพทย์ผิวหนัง) เป็นหลัก
เทคโนโลยีที่พัฒนา
-
เครื่องมือนี้เป็นระบบ AI ที่ถูกฝึกฝนให้สามารถวิเคราะห์ลักษณะผิวหนังที่ “น่าสงสัย” (lesions) เพื่อช่วยชี้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่
-
ใช้ภาพถ่ายของผิวหนังเป็นข้อมูลนำเข้า (input) ที่ระบบวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น จุดที่มีลักษณะแปลก ผิวหนังที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
ผลการทดสอบ
-
เมื่อทดสอบแล้ว พบว่าเครื่องมือสามารถลดระยะเวลาในการคัดกรองลงได้อย่างมาก และให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำสูงใจว่าใช้งานได้จริงในเชิงคลินิก
-
ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยเต็มที่เกี่ยวกับอัตราความแม่นยำ (sensitivity, specificity) ในงานวิจัยสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้ ณ ปัจจุบัน
ผลดีและโอกาส
-
ช่วยลดภาระงานของแพทย์ผิวหนัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ
-
เพิ่มโอกาสในการตรวจเจอผื่นหรือจุดสงสัยได้แต่เนิ่น ๆ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสที่โรคจะแพร่กระจายหรือรุนแรงขึ้น
-
ในอนาคตสามารถพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของบริการตรวจสุขภาพผิวแบบออนไลน์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile device) ได้
ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม
-
ต้องมีการยืนยันทางคลินิกเพิ่มเติมในประชากรที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องชนิดผิว สีผิว และเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน
-
ความแม่นยำยังต้องได้รับการเผยแพร่ในเชิงสาธารณะ เพื่อให้แพทย์และผู้ใช้ทั่วไปประเมินได้
-
ปัญหาด้านจริยธรรมและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลภาพถ่ายผิวหนังและความเป็นส่วนตัว (privacy) ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
บทสรุป
นวัตกรรม AI จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับวงการแพทย์ทางผิวหนัง — การคัดกรองมะเร็งผิวหนังแบบเร็วและแม่นยำนั้นอาจช่วยชีวิตผู้คนได้ หากมีการนำไปใช้ในวงกว้างและพัฒนาต่อเนื่อง เครื่องมือนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนวิธีที่เรา “ดูแลผิวหนัง” จากการตรวจร่างกายด้วยตาเปล่าและประเมินโดยมนุษย์เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสนับสนุนโดยเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
------------------------------------
แหล่งที่มา
The University of Melbourne
Comments
0 comment